เจาะลึกการตลาด Facebook Ads vs Google Ads
ยกที่ 1: เข้าใจความต่าง
• Facebook Ads
เน้น “สร้างความต้องการ” เข้าถึงลูกค้าเป้าหมายตามพฤติกรรม ความสนใจ ไลฟ์สไตล์ เสมือน “แนะนำตัว” ให้คนรู้จักแบรนด์ สามารถกำหนดเป้าหมายได้หลากหลาย
เช่น
การสร้างยอดขาย (Conversions) เช่น การซื้อสินค้า, การลงทะเบียน
การเพิ่มยอดติดตามเพจ (Page Likes) เพื่อสร้างฐานแฟนคลับ
การรับชมวิดีโอ (Video Views) เพื่อโปรโมทคอนเทนต์วิดีโอ
การเพิ่ม Traffic ไปยังเว็บไซต์ เพื่อนำคนเข้าสู่เว็บไซต์
และ Facebook Ads สามารถใช้ “ตอบสนองความต้องการ” ได้เช่นกัน เช่น การยิง Ads Remarketing ไปยังคนที่เคยเข้าชมเว็บไซต์หรือสินค้า เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ
ตัวอย่าง: ร้านขายเสื้อผ้าแฟชั่น ยิง Ads ไปยังกลุ่มเป้าหมายที่ชอบแฟชั่น ติดตามเพจแบรนด์ดัง อาศัยอยู่ในเมือง
• Google Ads
เน้น “ตอบสนองความต้องการ” แสดงผลเมื่อลูกค้า “ค้นหา” สิ่งที่ต้องการอยู่แล้ว เสมือน “รอรับลูกค้า” ที่พร้อมซื้อ
Google Ads มีหลายรูปแบบ เช่น Search Ads, Display Ads, Video Ads (YouTube) ซึ่งแต่ละรูปแบบก็มีวิธีการทำงานและวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันไป
ตัวอย่าง: คนค้นหา “ร้านกาแฟใกล้ฉัน” Google Ads จะแสดงผลร้านกาแฟที่อยู่ใกล้เคียง พร้อมโปรโมชั่นดึงดูดใจ
ยกที่ 2: วิธีการทำงาน:
• Facebook Ads
ยิงโฆษณาไปยังกลุ่มเป้าหมาย ตามข้อมูล Demograhics (เพศ, อายุ, สถานที่, การศึกษา, อาชีพ, สถานะความสัมพันธ์)
ความสนใจ (สิ่งที่ชอบ กิจกรรมยามว่าง เพจที่ติดตาม)
พฤติกรรม (การใช้งาน Facebook, ประวัติการซื้อสินค้าออนไลน์)
ตัวอย่าง: แบรนด์เสื้อผ้าผู้หญิง ยิงโฆษณา Facebook Ads ไปที่ผู้หญิง อายุ 25-35 ปี ที่สนใจแฟชั่น อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ และชอบช้อปปิ้งออนไลน์
และยิงโฆษณาไปยังกลุ่มเป้าหมายอื่นๆ เช่น
Custom Audiences สร้างกลุ่มเป้าหมายจากฐานลูกค้าเดิม การยิง Ads ไปยังคนที่เคยเข้าเว็บไซต์ หรือคนที่กดไลค์เพจ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของโฆษณา
Lookalike Audiences สร้างกลุ่มเป้าหมายที่มีลักษณะคล้ายกับลูกค้าเดิม ซึ่งช่วยขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ ที่มีแนวโน้มสนใจสินค้า/บริการ
• Google Ads
แสดงโฆษณาเมื่อคนค้นหา Keyword (คำหลักที่เกี่ยวข้องกับสินค้า/บริการ) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของ Google Ads เช่น การใช้ Match Types (ประเภทการจับคู่คำหลัก) เพื่อควบคุมการแสดงผลของโฆษณา
การเลือก Keyword ต้องเลือก Keyword ที่ตรงกับสิ่งที่ลูกค้าค้นหา
Match Types (ประเภทการจับคู่คำหลัก) เพื่อควบคุมการแสดงผลของโฆษณา เช่น Broad Match, Phrase Match, Exact Match
Negative Keywords กำหนดคำที่ไม่ต้องการให้โฆษณาแสดงผล
ตัวอย่าง: ร้านอาหาร ยิง Google Ads ด้วย Keyword “ร้านอาหารอร่อยใกล้ฉัน” “บุฟเฟ่ต์อาหารทะเล” ทำให้คนที่ค้นหา Keyword เหล่านี้ เห็นโฆษณาของร้าน
ยกที่ 3: งบประมาณ
• Facebook Ads
กำหนดงบประมาณได้เอง เริ่มต้นที่หลักสิบ วัดผลด้วย Reach (จำนวนคนที่เห็นโฆษณา), Engagement (การมีส่วนร่วมกับโฆษณา เช่น ไลค์ แชร์ คอมเมนต์), Clicks (จำนวนคลิก), Conversions (จำนวนยอดขาย)
Facebook Ads มีระบบ Bidding ที่หลากหลาย เช่น
Cost per 1000 Impressions (CPM): จ่ายเงินเมื่อโฆษณาแสดงผลครบ 1,000 ครั้ง
ตัวอย่าง: จ่าย 100 บาท ให้คนเห็นโพสต์ 1,000 คน หรือมากกว่านั้น
• Google Ads
จ่ายต่อเมื่อมีคนคลิก (CPC) แข่งขันสูง
วัดผลด้วย Clicks, Conversions
ตัวอย่าง: จ่าย 5 บาท ทุกครั้งที่มีคนคลิกโฆษณา
กำหนด Bid 5 บาท สำหรับ Keyword “พิซซ่า” เมื่อมีคนค้นหา “พิซซ่า” แล้วคลิกที่โฆษณา คุณจะจ่าย 5 บาท
Google Ads มีระบบ Bidding ที่หลากหลายเช่นกัน
ราคาต่อคลิก (CPC) จะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย
เช่น
การแข่งขันของ Keyword:
Keyword ยอดนิยม จะมีราคา CPC สูงกว่า
Quality Score:
คะแนนคุณภาพของโฆษณา (ขึ้นอยู่กับ ความเกี่ยวข้องของ Keyword, คุณภาพของ Landing Page, อัตราการคลิกผ่าน (CTR) )
Ad Rank: อันดับของโฆษณา (คำนวณจาก Bid x Quality Score)
เช่น
การแข่งขันของ Keyword: Keyword ยอดนิยม จะมีราคา CPC สูงกว่า
Quality Score: คะแนนคุณภาพของโฆษณา
Ad Rank: อันดับของโฆษณา
ยกที่ 4: ยกตัวอย่างสถานการณ์
หากคุณอยากกินพิซซ่า
• Facebook Ads
เห็นโฆษณาพิซซ่าหน้าตาน่ากินพร้อมโปรโมชั่นเด็ดจากร้านดังใน Facebook Feed ทำให้อยากสั่งมาลอง
• Google Ads
ค้นหา “พิซซ่าใกล้ฉัน” บน Google เจอโฆษณาของร้านพิซซ่าพร้อมแผนที่และรีวิว จึงตัดสินใจกดสั่ง
ยกที่ 5: ข้อดี – ข้อเสีย
Facebook Ads
ข้อดี: เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้แม่นยำ สร้าง Brand Awareness ได้ดี มีรูปแบบโฆษณาที่หลากหลาย ค่าโฆษณาค่อนข้างถูก มีเครื่องมือวัดผลที่หลากหลาย
ข้อเสีย: Organic Reach ลดลง การแข่งขันสูงขึ้น
Google Ads
ข้อดี: เข้าถึงลูกค้าที่กำลังค้นหาสินค้า/บริการ ผลลัพธ์รวดเร็ว วัดผลได้ชัดเจน
ข้อเสีย: ค่าโฆษณาค่อนข้างสูง การแข่งขันสูง ต้องมีความรู้ความเข้าใจในการ SEO และ Keyword
หมายเหตุ: การเลือกใช้ Facebook Ads หรือ Google Ads ขึ้นอยู่กับ วัตถุประสงค์ทางการตลาด ประเภทของธุรกิจ งบประมาณ และกลุ่มเป้าหมาย
บทสรุป: Facebook Ads หรือ Google Ads ดีกว่ากัน?
ไม่มีคำตอบตายตัว! ขึ้นอยู่กับ “วัตถุประสงค์” และ “กลุ่มเป้าหมาย” ของธุรกิจ
การใช้ Facebook Ads และ Google Ads ร่วมกัน ในบางธุรกิจก็อาจจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการตลาดได้ทั้งคู่!
ใช้ Facebook Ads สร้างการรับรู้
ต่อด้วย Google Ads ดักจับลูกค้าที่พร้อมซื้อ
และถ้าหากคุณอยากอัปเดตเทรนด์การตลาดออนไลน์ พร้อมรับความรู้แบบเข้าใจง่าย แถมนำไปใช้ได้จริง
บริการ Content Marketing รับทําคอนเทนต์สร้างยอดขาย
ติดต่อได้ที่ ไลน์ @inDigital
.
เกาะติดข่าวสารการตลาดออนไลน์ Digital Marketing Trend เทคนิคการโปรโมทโฆษณา
ติดต่อเรียนการตลาดออนไลน์ Digital Marketing กับอาจารย์หลิง
ทางไลน์ไอดี @ajlink
ติดตามบน Facebook Fanpage : AJLink อาจารย์หลิง