วิธีวางแผนแคมเปญดิสเพลย์บน Google Ads วิธีวางแผนแคมเปญดิสเพลย์บน Google Ads

วิธีวางแผนแคมเปญดิสเพลย์บน Google Ads

เครื่องมือวางแผนแคมเปญดิสเพลย์เหมาะสำหรับการใช้งานหากคุณเลือกที่จะแสดงโฆษณาในเครือข่ายดิสเพลย์ของ Google ในเครือข่ายดิสเพลย์ คุณสามารถกำหนดเป้าหมายโฆษณาแบบข้อความ แบบรูปภาพ วิดีโอ หรือสื่อสมบูรณ์ของคุณให้แสดงบนไซต์ หน้าเว็บ แอป หรือวิดีโอที่ต้องการทั่วทั้งเครือข่าย เครื่องมือวางแผนแคมเปญดิสเพลย์จะช่วยคุณในการวางแผนแคมเปญบนเครือข่ายดิสเพลย์โดยการแนะนำคีย์เวิร์ด ความสนใจ หัวข้อ ตำแหน่ง กลุ่มประชากร และรายการรีมาร์เก็ตติ้งที่จะกำหนดเป้าหมาย นอกจากแนวคิดทั้งหมดที่เครื่องมือนี้แนะนำ คุณจะเห็นการประมาณการค่าใช้จ่ายและการเข้าถึงซึ่งดูจากข้อมูลที่ผ่านมา มีขั้นตอนหลักห้าขั้นตอนในการวางแผนแคมเปญดิสเพลย์ ได้แก่

1. ระบุเป้าหมายของคุณ: เป้าหมายของคุณคือการเพิ่มการเข้าชมที่มีการตอบสนองโดยตรงและการสร้างคลิก หรือคือการโปรโมตแบรนด์และวัดการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ การระบุเป้าหมายล่วงหน้าจะช่วยให้คุณวางแผนและใช้งานแคมเปญดิสเพลย์ได้ดียิ่งขึ้น เป้าหมายสูงสุดสำหรับแคมเปญของคุณจะเป็นตัวกำหนดตัวเลือกการกำหนดเป้าหมาย รูปแบบการกำหนดราคา การสร้างข้อความในโฆษณา หรือแม้แต่เมตริกที่คุณเลือกติดตาม

2. ค้นหาผู้ชมเป้าหมายของคุณ: การค้นหาผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าจากเว็บไซต์ของผู้เผยแพร่โฆษณาหลายพันเว็บไซต์เป็นเรื่องที่ยาก เทคโนโลยีการกำหนดเป้าหมายของ Google จะช่วยคุณในการตัดสินใจว่าไซต์ใดบ้างที่มีความเกี่ยวข้องกับแคมเปญของคุณมากที่สุด ซึ่งช่วยให้คุณเชื่อมต่อกับลูกค้าได้ในเวลาและที่ที่เหมาะสม โฆษณาที่เกี่ยวข้องนั้นมีคุณค่ามากกว่าสำหรับทั้งผู้บริโภคและผู้ลงโฆษณา คุณสามารถค้นหาผู้ชมเป้าหมายสำหรับแคมเปญดิสเพลย์ได้โดย:

    • การกำหนดเป้าหมายโดยพิจารณาจากเนื้อหาของหน้าเว็บ: การกำหนดเป้าหมายตามบริบทใช้คำหลักในการจับคู่โฆษณาของคุณกับเนื้อหาของหน้าเว็บโดยอัตโนมัติ
    • การเลือกไซต์ด้วยตนเอง: ใช้การกำหนดเป้าหมายจากตำแหน่งในการเลือกตำแหน่งโฆษณา ตั้งแต่ทั้งเว็บไซต์ไปจนถึงจุดที่ต้องการบนหน้าเว็บที่เจาะจง
    • การกำหนดแนวคิดที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับไซต์ที่เลือก: ค้นหาผู้ชมเฉพาะกลุ่มด้วยชุดค่าผสมของการกำหนดเป้าหมายจากตำแหน่งและการกำหนดเป้าหมายตามบริบท
    • การค้นหาผู้ใช้ในหมวดหมู่ความสนใจที่เฉพาะเจาะจง: การโฆษณาตามความสนใจจะเข้าถึงผู้ใช้โดยพิจารณาจากประเภทของไซต์ที่พวกเขาเข้าชม
    • การเพิ่มประสิทธิภาพตามข้อมูลประชากร สถานที่ตั้ง และเวลา: การเสนอราคาตามข้อมูลประชากร การควบคุมเกี่ยวกับพื้นที่ทางภูมิศาสตร์และช่วงเวลาของวันช่วยให้คุณมุ่งเน้นการใช้จ่ายในได้ตามเกณฑ์ที่ต้องการ
    • การยกเว้นเนื้อหาและไซต์ที่ไม่เกี่ยวข้อง: การควบคุมการกำหนดเป้าหมายขั้นสูงช่วยให้คุณสามารถควบคุมที่ที่โฆษณาจะแสดงได้อย่างสมบูรณ์
    • การจัดการความถี่ของการแสดงโฆษณา: การกำหนดความถี่สูงสุดช่วยให้คุณมุ่งเน้นการแสดงผลไปที่ผู้บริโภคที่สนใจมากกว่าได้

3. สร้างโฆษณาแบบดิสเพลย์ที่กำหนดเองของคุณ: ใช้แกเลอรีโฆษณาของ Google ซึ่งก่อนหน้านี้เรียกว่าเครื่องช่วยสร้างโฆษณาแบบดิสเพลย์ ในการกำหนดค่าโฆษณาใหม่หรืออัปโหลดโฆษณาของคุณเอง ปรับแต่งข้อความของคุณเพื่อให้มีความเฉพาะเจาะจงสำหรับผลิตภัณฑ์และผู้ชม และเพื่อดึงดูดการตอบสนองของผู้ใช้ที่ต้องการ โดยแบ่งประเภทได้ตามนี้

    • โฆษณาแบบดิสเพลย์ที่ปรับเปลี่ยนตามอุปกรณ์กำลังเข้ามาแทนที่โฆษณาที่ปรับเปลี่ยนตามอุปกรณ์ซึ่งจะตั้งค่าเป็นประเภทโฆษณาเริ่มต้นสำหรับเครือข่ายดิสเพลย์ โฆษณาประเภทนี้จะใช้ได้กับแคมเปญในเครือข่ายดิสเพลย์มาตรฐานและแคมเปญสมาร์ทดิสเพลย์ หากต้องการสร้างโฆษณาแบบดิสเพลย์ที่ปรับเปลี่ยนตามอุปกรณ์ เพียงแค่อัปโหลดเนื้อหา (รูปภาพ บรรทัดแรก โลโก้ วิดีโอ และคำอธิบาย) และ Google จะสร้างโฆษณาเพื่อแสดงบนเครือข่ายดิสเพลย์ของ Google ให้โดยอัตโนมัติ
    • รีมาร์เก็ตติ้งแบบไดนามิกจะแสดงเนื้อหาที่ปรับให้เหมาะกับลูกค้าแต่ละราย เนื้อหาดังกล่าวจะมาจากฟีดผลิตภัณฑ์ที่คุณควบคุมและแนบไว้กับแคมเปญ โฆษณาแบบดิสเพลย์ที่ปรับเปลี่ยนตามอุปกรณ์ปรับให้พอดีกับพื้นที่โฆษณาขนาดใดก็ได้ ทั้งยังสร้างและแก้ไขได้อย่างง่ายดาย

    • โฆษณา Discovery ช่วยให้เข้าถึงผู้ที่พร้อมจะค้นพบและมีส่วนร่วมกับแบรนด์ รูปแบบการเสนอราคาอัตโนมัติและครีเอทีฟโฆษณาที่ดึงดูดสายตาจะช่วยให้คุณเข้าถึงผู้ใช้ได้ถึง 3 พันล้านคนใน Google โฆษณา Discovery จะแสดงโดยอัตโนมัติในหน้าแรกของ YouTube และฟีด “แนะนําให้รับชม”, Discover รวมถึงแท็บ “โปรโมชัน” และ “โซเชียล” ของ Gmail โดยใช้แคมเปญเดียว

4. กำหนดราคาเสนอและงบประมาณของคุณ: คุณจะจ่ายไม่เกินกว่ามูลค่าที่โฆษณาหนึ่งๆ มีต่อคุณ ในรูปแบบการกำหนดราคาเฉพาะนั้น โฆษณาทุกรายการคือการประมูล โดยคุณจะเสนอราคาเป็นจำนวนเงินสูงสุดที่ยินดีจ่ายสำหรับคลิกหรือการแสดงผลหนึ่งๆ การกำหนดราคาแบบราคาต่อหนึ่งคลิก (CPC) เหมาะที่สุดสำหรับผู้ลงโฆษณาที่ต้องการนำการเข้าชมไปยังเว็บไซต์หรือร้านค้าออนไลน์ของตน การกำหนดราคาแบบราคาต่อการแสดงผลพันครั้ง (CPM) เหมาะสำหรับผู้ลงโฆษณาที่คุ้นเคยกับเมตริกอุตสาหกรรมโฆษณาแบบดั้งเดิม และต้องการให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในหมู่ผู้มีโอกาสเป็นลูกค้า

กลยุทธ์เสนอราคาตามประเภทโฆษณาที่ต้องการโดยแบ่งตามนี้

      • ราคาเสนอเริ่มต้น: หากคุณไม่มีราคาเสนอที่กำหนดเองเมื่อโฆษณาปรากฏในตำแหน่งที่ตรงกับการกำหนดเป้าหมาย Google Ads จะใช้ราคาเสนอเริ่มต้นของกลุ่มโฆษณา
      • ราคาเสนอที่กำหนดเอง: หากคุณเปิดใช้ราคาเสนอที่กำหนดเองสำหรับวิธีการกำหนดเป้าหมายหนึ่งๆ เช่น หัวข้อ Google Ads จะใช้ราคาเสนอนั้นเมื่อโฆษณาแสดงในเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อดังกล่าว
      • การปรับราคาเสนอ: หากต้องการควบคุมเวลาและสถานที่ที่โฆษณาจะแสดงได้มากขึ้น โปรดตั้งค่าการปรับราคาเสนอที่ระดับแคมเปญและกลุ่มโฆษณา

5. ทำความเข้าใจเครื่องมือและคุณลักษณะการจัดการประสิทธิภาพ: Google Ads มีเครื่องมือและคุณลักษณะจำนวนมากที่จะช่วยคุณในการประเมินและจัดการประสิทธิภาพแคมเปญดิสเพลย์ของคุณ คุณควรทำความเข้าใจเครื่องมือเหล่านี้ไว้ล่วงหน้าเพื่อให้สามารถใช้ได้อย่างสะดวกเมื่อถึงเวลา ตัวอย่างเช่น หากคุณมีเป้าหมายด้านการตลาดเป็นการตอบสนองโดยตรง คุณควรตั้งค่าเครื่องมือวัด Conversion หลังจากที่กำหนดราคาเสนอและงบประมาณแล้ว เพื่อให้สามารถวัดความสำเร็จในภายหลังได้ดีขึ้น เป็นต้น

 

เกาะติดข่าวสารการตลาดออนไลน์ Digital Marketing Trend เทคนิคการโปรโมทโฆษณา

ติดต่อเรียนการตลาดออนไลน์ Digital Marketing กับอาจารย์หลิง
ทางไลน์ไอดี @ajlink

ติดตามบน Facebook Fanpage : AJLink อาจารย์หลิง

เพิ่มเพื่อน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *