Jan Koum ผู้ร่วมก่อตั้งแอพพลิเคชันส่งข้อความผ่านมือถือ WhatsApp เด็กหนุ่มที่อพยพจากบ้านเกิด เพื่อหลีกหนีปัญหาความไม่สงบทางการเมืองในประเทศยูเครนไปแสวงหาโอกาสที่ดีกว่าในสหรัฐอเมริกา รับจ้างทำความสะอาดร้านชำและรับแสตมป์อาหาร ที่รัฐแจกให้แก่ครอบครัวที่ยากจนมากเพื่อนำไปซื้ออาหาร และยังเรียนไม่จบจากมหาวิทยาลัย วันหนึ่ง Jan Koum กลายเป็นนักธุรกิจหนุ่ม โดยเป็นเจ้าของแอพพลิเคชั่นชื่อดังที่หลายคนรู้จัก “ WhatsApp ” ที่ถูก Facebook เข้าซื้อกิจการไปในปี 2014 ด้วยมูลค่ากว่า 19 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 6 แสนล้านบาท) ทำให้เขากลายเป็นมหาเศรษฐีในทันที ในปี 2019 นี้เขามีทรัพย์สินอยู่ที่ 9.7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 3 แสนล้านบาท
Jan Koum เกิดเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ปี 1976 ที่ประเทศยูเครน ในเมืองหลวง Kiev ต่อมาได้อาศัยอยู่ในเมือง Fastiv เขาเป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัวและได้รับเชื้อสายยิวที่สืบทอดมาจากพ่อและแม่ของเขาโดยตรง โดยพ่อของเขามีอาชีพเป็นผู้จัดการโครงการฝ่ายก่อสร้าง และแม่มีอาชีพเป็นแม่บ้าน ชีวิตในวัยเด็กของ Jan Koum เล่าถึงความลำบากในวัยเด็กว่า ภายในโรงเรียนไม่มีแม้กระทั่งห้องน้ำ ทำให้เด็ก ๆ ในโรงเรียนต้องเดินข้ามลานจอดรถเพื่อไปใช้ห้องน้ำอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งสภาพอากาศของยูเครนในช่วงหน้าหนาวนั้นมีอุณหภูมิที่ต่ำลงกว่า -20 องศาเซลเซียส ต้องเลือกระหว่างจะยอมอั้นเอาไว้หรือยอมฝ่าอากาศที่หนาวเหน็บเพื่อไปเข้าห้องน้ำ นอกจากนี้ ครอบครัวของเขายังได้รับผลกระทบจากปัญหาความไม่สงบทางการเมือง มีการต่อต้านชาวยิวอย่างรุนแรง และไม่มีความเป็นส่วนตัวในการติดต่อสื่อสารเพราะมักจะถูกดักฟังทางโทรศัพท์จากรัฐบาลที่เข้มงวดกับกลุ่มชาวยิว ครอบครัวของ Jan Koum จึงวางแผนที่จะอพยพไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา ตอนที่เขาอายุได้เพียง 16 ปี แม่และยายพาเขาอพยพไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา ในขณะที่พ่อของเขาตั้งใจจะเดินทางตามมาแต่พ่อของเขาก็ได้เสียชีวิตลงในยูเครนก่อนจะได้เดินทางตามครอบครัวมาสหรัฐอเมริกา
หลังจากที่เขาได้เดินทางอพยพมายังสหรัฐอเมริกา เขาต้องอาศัยอยู่ในประเทศที่ไม่คุ้นเคย แม่ของเขาได้พามาอาศัยอยู่ที่เมือง Mountain View ในรัฐ California ในอพาร์ทเมนต์สองห้องนอนขนาดเล็กซึ่งจัดหาโดยรัฐบาลจัดสรรให้ ในช่วงแรกนั้น ครอบครัวของพวกเขาอยู่ได้ด้วยเงินสวัสดิการและแสตมป์อาหารที่ต้องต่อคิวที่สำนักงานเทศบาล ซึ่งเป็นสถานที่แลกสแตมป์อาหารสำหรับผู้ยากไร้ ต่อมาแม่ของเขาป่วยเป็นโรคมะเร็ง ไม่สามารถทำงานได้ ทั้งคู่ประทังชีพด้วยเบี้ยเลี้ยงจากรัฐบาล จนกระทั่งแม่ของเขากได้เสียชีวิตลงในปี 2000 หลังจากที่ Jan Koum อพยพมาได้สักพัก เขาก็ต้องฝึกฝนการใช้ภาษาอังกฤษอย่างหนัก เพื่อที่จะสามารถเอาตัวรอดอเมริกาได้ โดยเขาได้เริ่มเข้าเรียนระดับไฮลสคูลที่ Mountain View High School และจบการศึกษาในปี 1995 Jan Koum ในวัย 18 ปี เขามีความสนใจด้านการเขียนโปรแกรมเป็นพิเศษ ซึ่งเขาเรียนรู้ด้วยตนเองผ่านการซื้อหนังสือจากร้านขายหนังสือมือสองและนำไปขายคืนเมื่ออ่านจนจบแล้ว ต่อมาในปี 1996 Jan Koum สมัครเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย San Jose State University ซึ่งในระหว่างที่เรียน เขาได้รับจ้างทำงานในช่วงกลางคืนจากบริษัท Ernst & Young ในตำแหน่งผู้ทดสอบความปลอดภัย (Security Tester) และเขาก็ยังได้เข้าร่วมกลุ่มแฮ็กเกอร์ที่เรียกตัวเองว่า w00w00 ซึ่งทำให้พบกับ Shawn Fanning ที่กลายมาเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Napster โปรแกรมสตรีมมิ่งและแชร์เพลงชื่อดังในช่วงปี 1990 – 2002 ต่อมา Jan Koum ก็ได้พบกับ Brian Acton ซึ่งเป็นพนักงานที่ทำงานให้กับ Yahoo รับผิดชอบในส่วนของเรื่องโฆษณา จึงได้ชักชวน Jan Koum ให้มาทำงานด้วยกัน Jan Koum เข้ามาทำงานที่ Yahoo ในตำแหน่ง Infrastructure Engineer (วิศวกรโครงสร้างพื้นฐาน) โดยมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ Yahoo ถูกกลุ่มวัยรุ่นแคนาดาทำการโจมตีเว็บไซต์ในรูปแบบ Massive denial-of-service attack ซึ่งเป็นวิธีการโจมตีที่ใช้วิธีส่งข้อมูลที่มีปริมาณมหาศาลเข้าไปที่เว็บเป้าหมายเพื่อทำให้การรับ-ส่งข้อมูล จนเกิดคอขวดและทำให้เว็บไซต์ล่มไม่สามารถใช้งานได้ Jan Koum จึงได้ขอความช่วยเหลือจากเพื่อน ๆ ในกลุ่มแฮกเกอร์ w00w00 นี้ทำให้ Yahoo สามารถผ่านพ้นปัญหาในช่วงที่เว็บไซต์ล่มไปได้ และทุกครั้งที่ Yahoo เกิดปัญหาหัวหน้าของเขาก็มักจะติดต่อให้ Jan Koum รีบเข้าไปแก้ไขปัญหาให้ ซึ่งในระหว่างนั้นเขาก็ยังเรียนอยู่ จนทำให้เขาจึงต้องตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยกลางคัน แล้วไปทำงานแบบ Full-Time ที่ Yahoo ตั้งแต่ปี 1997 เป็นเวลากว่า 9 ปี จนกระทั่งในปี 2007 ทั้ง Jan Koum และ Brian Acton ก็ได้ตัดสินใจลาออกจาก Yahoo พร้อมกัน เนื่องจากเริ่มเบื่อหน่ายกับการทำงาน หลังจากที่ทั้งคู่ได้ลาออกจาก Yahoo พวกเขาก็ใช้เวลาไปกับการเดินทางไปทั่วอเมริกาใต้เป็นเวลากว่าหนึ่งปีเต็ม และเมื่อกลับมายังสหรัฐอเมริกาพวกเขาก็เริ่มต้นมาสมัครงานใหม่ที่ Facebook แต่ถูกปฏิเสธ
ต่อมาในเดือนมกราคม ปี 2009 Jan Koum มีโอกาสได้ซื้อ iPhone มาเครื่องหนึ่งและเข้าไปยัง App store เขาก็ตระหนักได้ถึงศักยภาพของตลาดแอพพลิเคชันที่กำลังจะกลายเป็นอุตสาหกรรมใหม่ที่กำลังจะเติบโตและกลายเป็นอุตสาหกรรมหลักที่สามารถสร้างรายได้อย่างมหาศาล Jan Koum ที่เห็นโอกาสทางธุรกิจนั้น จึงได้เขาไปปรึกษากับเพื่อนชาวรัสเซียที่ชื่อ Alex Fishman โดยใช้เวลาปรึกษากันอยู่ประมาณ 2 ชั่วโมงกว่า Jan Koum ก็ได้ไอเดียว่า บน iPhone มีสมุดบันทึกรายชื่อ เบอร์โทรของเพื่อน ๆ และคนที่รู้จัก ซึ่งทำให้เขาคิดว่า อยากจะสร้างแอพฯ ที่สามารถโพสต์สเตตัสของตนเองและคนอื่นก็สามารถเห็นสเตตัสนั้นได้ Alex Fishman จึงได้แนะนำให้รู้จักกับนักพัฒนาแอพที่ชื่อ Igor Solomennikov ซึ่งกลายมาเป็น iOS Engineer คนแรกของ WhatsApp โดยที่มาของชื่อ WhatsApp นั้นมาจากการออกเสียงที่คล้ายกับคำว่า What’s up ในภาษาอังกฤษ ที่ชาวอเมริกันใช้ในการทักทายกัน จดทะเบียนบริษัทในชื่อ WhatsApp Inc. โดย Jan Koum เลือกที่จะจดบริษัทในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2009 ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันเกิดของเขาวัย 33 ปีพอดี ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2009 แอพพลิเคชั่น WhatsApp 1.0 ก็ถูกปล่อยออกไปแต่มันก็ยังทำงานได้ไม่ค่อยดีนัก เพราะหลังจากติดตั้งแอพฯ ลงบนมือถือแล้ว แอพก็มักจะล่มอยู่บ่อย ๆ กว่าจะพัฒนาให้ใช้งานได้อย่างสมบูรณ์แบบก็ใช้เวลาอยู่ระยะหนึ่ง ต่อมาในเดือนมิถุนายน 2009 เมื่อ Apple เปิดตัวการใช้งานแบบ push notification โดยอนุญาตให้นักพัฒนาแอพฯ สามารถส่งข้อความไปยังผู้ใช้งานได้ แม้ในขณะที่ผู้ใช้ไม่ได้เปิดโปรแกรมเอาไว้อยู่ Jan Koum ก็ได้นำฟีเจอร์นี้มาปรับใช้กับ WhatsApp เมื่อเพื่อนอัพเดท Status ก็ให้แจ้งเตือนไปยังเพื่อน ๆ ที่มีอยู่ในรายชื่อด้วย ต่อมา Alex Fishman ได้ลองทดสอบแอพฯ ด้วยการอัพเดท Status ว่า Hey! What’s up ก็มีเพื่อนของเขาตอบกลับมาประมาณว่า I’m Fine ซึ่ง Alex Fishman จึงบอกกับ Jan Koum ว่ามันเหมือนแอพฯ ที่เอาไว้แชทเลย จากแอพฯ WhatsApp เป็นแอพฯ ที่มีไว้อัพเดท Status ทำให้พวกเขากำลังสร้างแอพฯ Instant Messenger หรือแอพฯ ที่สามารถแขทขึ้นมาได้ WhatsApp มันสามารถส่งข้อความอัพเดทหาผู้ใช้ที่อยู่ในเครือข่ายเดียวกันได้ และในที่สุด WhatsApp ก็สามารถใช้ส่งข้อความโต้ตอบหากันแบบทันที ซึ่ง Jan Koum กล่าวว่า “ความสามารถในการเข้าถึงใครสักคนที่อยู่ห่างกันครึ่งโลกผ่านอุปกรณ์ที่อยู่กับตัวตลอดเวลาได้ในทันทีนั้นเป็นเรื่องที่ทรงพลังอย่างมาก” WhatsApp สามารถเข้าสู่ระบบเพียงแค่ใช้หมายเลขโทรศัพท์ โดยที่ไม่มีการเก็บข้อมูลของผู้ใช้ ทำให้หลังจากที่เปิดตัว WhatsApp ในเวอร์ชั่น 2.0 นี้ออกไป ก็กลายเป็นว่า มีผู้คนเข้ามาดาวน์โหลดแอพฯ สูงถึง 250,000 คนแทบจะในทันที เพราะแอพฯ นี้มันสามารถตอบโจทย์และแก้ไขปัญหาให้กับผู้คนที่ต้องการส่งข้อความหากันทั่วโลก ที่ไม่ต้องการเสียค่าบริการ SMS เพียงแค่มีอินเตอร์เน็ตก็สามารถเชื่อมต่อและส่งข้อความได้ฟรี ไม่จำกัดจำนวนทั่วโลกได้ ในช่วงเดือนตุลาคม 2009 เขาจึงไปชักชวน Brian Acton เข้ามีส่วนร่วมด้วย ซึ่งในขณะนั้น Brian Acton ก็ยังคงว่างงานอยู่ Brian Acton สามารถชักชวนเพื่อนร่วมงานที่เคยทำงานด้วยกันที่ Yahoo จำนวน 5 คน มาร่วมลงขันรวมแล้วได้เงินตั้งต้นกว่า 250,000 เหรียญฯ (ประมาณ 8 ล้านบาท) Jan Koum จึงให้เครดิตกับ Bian Acton ว่าเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง WhatsApp โดยทั้งคู่ถือหุ้นรวมแล้วกว่า 60% โดยมี Jan Koum เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สุด
ในช่วงแรก WhatsApp ไม่มีรายได้เข้ามาเลย มีแต่รายจ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในส่วนของการส่งข้อความยืนยันตัวตนที่ต้องส่งให้กับผู้ใช้งานที่ใช้เบอร์มือถือในการลงทะเบียนใช้งานครั้งแรก ทำให้ในช่วงเดือนธันวาคม ปี 2009 พวกเขาได้ลองเปลี่ยนจากการให้ดาวน์โหลดแอพได้ฟรี มาลองเป็นการเก็บค่าดาวน์โหลดดูบ้าง โดยเก็บเงินค่าดาวน์โหลดอยู่ที่คนละ 0.99 เหรียญฯ ทำให้ยอดดาวน์โหลดจากเดิมที่เฉลี่ยวันละ 10,000 คน ลดลงมาเหลือวันละ 1,000 คนเท่านั้น แต่พวกเขาก็แก้เกมด้วยการปล่อยฟีเจอร์ที่สามารถส่งรูปภาพฟรีหากันได้ จึงทำให้ผู้ใช้งานค่อย ๆ เพิ่มขึ้นตามลำดับ แม้ว่าจะเก็บค่าดาวน์โหลดดก็ตาม จึงทำให้ WhatsApp นั้นมีรายได้ที่เพียงพอและครอบคลุมค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนในช่วงต้นปี 2011 WhatsApp ก็กลายเป็นแอพฯ ที่ติดอันดับ Top 20 ของ App Store ในอเมริกาที่มีคนดาวน์โหลดสูงที่สุด พวกเขาจึงเริ่มมองหาแหล่งเงินทุนจากนักลงทุนรายใหม่ ๆ โดยมีข้อแม้ว่าการหารายได้จากแอพฯ จะต้องไม่มาจากโฆษณา เกมส์และไม่แฝงลูกเล่นใด ๆ กับผู้ใช้งาน ต่อมาก็มีนักลงทุนจากบริษัท Sequoia เป็นบริษัทที่มักจะลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพเทคโนโลยีใหม่ ๆ โดย Jim Goetz ได้เสนอตัวเข้ามาเป็นที่ปรึกษาให้ฟรีเป็นเวลา 8 เดือน โดยเขาสัญญาว่า จะไม่หารายได้จากการโฆษณา Jim Goetz คิดว่ามีสตาร์ทอัพน้อยรายมากที่เติบโตได้ขนาดนี้ และยังไม่ขาดทุนอีกต่างหาก WhatsApp จึงได้ตกลงรับเงินทุนจาก Sequoia เพราะเห็นว่า มีแนวทางและวิสัยทัศน์ที่ไปด้วยกันได้ ต่อมาเพียง 2 ปี ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2013 WhatsApp ก็ได้เติบโตมากยิ่งขึ้น โดยมีผู้ใช้งานสูงถึง 200 ล้านคนต่อเดือน ทำให้บริษัท WhatsApp มีมูลค่าทางการตลาดสูงถึง 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท) ฐานผู้ใช้ WhatsApp เติบโตอย่างต่อเนื่อง และในเดือนธันวาคม ปี 2013 มีผู้ใช้งานอยู่ประมาณ 450 ล้านคนต่อเดือน ทำให้ถัดจากนั้นอีกเพียง 2 เดือน ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2014 Mark Zuckerberg CEO ของ Facebook ได้ติดต่อมาหา Jan Koum ต่อมา ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2014 ทาง Facebook ก็ประกาศเข้าซื้อกิจการของ WhatsApp อย่างเป็นทางการที่มูลค่า 19 พันล้านเหรียญหสรัฐฯ (ประมาณ 6.27 แสนล้านบาท) จนกระทั่งเดือนเมษายน ปี 2018 Jan Koum ได้ประกาศลาออกจากบอร์ดบริหารของ Facebook
และในปี 2019 ทาง Forbs ได้ระบุว่า Jan Koum มีทรัพย์รวมอยู่ที่ 10 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 3 แสนล้านบาท เป็นมหาเศรษฐีอันดับที่ 143 ของโลกที่สร้างฐานะขึ้นมาได้ด้วยตนเอง
– Jan Koum – กล่าวเอาไว้ว่า
“ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขามีเพียงแค่ไอเดียเดียว คือ การสร้าง WhatsApp ขึ้นมา โดยโฟกัสการทำมันเพียงอย่างเดียวและเขาก็ไม่มีแผนการหรือไอเดียที่สร้างสิ่งอื่น ๆ เลยแม้แต่น้อย”
“เราจะไม่หยุดจนกว่าทุก ๆ คนบนโลกนี้จะมีวิธีที่ประหยัดและเชื่อถือได้ ในการสื่อสารกับเพื่อนและคนที่พวกเขารัก”
“การสื่อสารเป็นหัวใจสำคัญของสังคมของเรา นั่นคือสิ่งที่ทำให้เราเป็นมนุษย์”
“เรามุ่งเน้นที่การส่งมอบสัญญาของ WhatsApp ให้กว้างไกลเพื่อให้ผู้คนทั่วโลกมีอิสระที่จะพูดในสิ่งที่ตนคิดโดยไม่ต้องกลัว”
เกาะติดข่าวสารการตลาดออนไลน์ เทคนิคการโปรโมทโฆษณา
แค่กดเป็นเพื่อนกับ ไลน์@inDigital ที่นี่
Fanpage : INdigital
การตลาดออนไลน์เว็บไซต์ : www.indigital.co.th
ที่มา : awakenthegreatnesswithin, thefamouspeople, businessinsider, eyerys
รูปภาพ : businessinsider